หน่วยการเรียนที่ 4

หน่วยการเรียนที่ 4  จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู
ความหมาย
“จิตวิทยา”เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต
โดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้ได้อิทธิพลอย่างไรจากสภาวะทางร่างกาย สภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมภายนอก
แนวทางในการศึกษา
ศึกษาและสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบในห้องทดลอง นำผลการทดลองไปใช้ในสถานการณ์จ
ริงในห้องเรียนค้นหาวิธีการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ศึกษาเกี่ยวกับการวัดและการประเมินทางการศึก
ษา ศึกษาพัฒนาการด้านต่างๆของนักเรียน
จิตวิทยากับการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้
เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอน
พร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน
ความรู้ที่อยู่ในขอบข่ายการเรียนการสอน
1. ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
2. หลักการของการเรียนรู้และการสอนประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนรู้ชนิดต่างๆ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรียน
4. การนำเอาหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
ประการแรก มุ่งพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรียนการสอน
ประการที่สอง
นำเอาองค์ความรู้ข้างต้นมาสร้างรูปแบบเชิงปฏิบัติเพื่อครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
หลักการสำคัญ
1. มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2. มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรียนการสอน
3. มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4. มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน

จิตวิทยาครู

ครู หมายถึง ผู้สอน มาจากภาษาบาลีว่า “ครุ”
ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” แปลว่า หนัก สูงใหญ่
- ครูต้องรับภารหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบ
- ครูต้องมีความหนักแน่น สุขุม ไม่วู่วาม ทั้งความคิดและการกระทำ
บทบาทและความสำคัญของครูในปัจจุบัน
ธีรศักดิ์ (2542) ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ดังนี้
บทบาทและความสำคัญต่อเยาวชน
บทบาทและความสำคัญของครูในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
บทบาทและความสำคัญของครูในการรักษาชาติ
บทบาทและความสำคัญของครูในเยียวยาสังคม

รูปแบบของครู (Models of Teachers)
Fenstermacher และ Soltis (1992) ได้กล่าวถึงรูปแบบและบทบาทของครู เป็น 3 ประเภท
1. The Executive Model
ทำหน้าที่คล้ายบริหาร
2. The Therapist Model
มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด
3. The Liberationist Model ครูที่ให้อิสระผู้เรียนในการเรียนรู้

Parsons and others (2001)

กล่าวว่าครูควรมีหลายบทบาทตามความเหมาะสมของสภาพการณ์ มิใช่มีความรู้หรือเชี่ยวชาญเฉพาะเนื้อหา
ดังนั้นครูอาจมีบทบาท ดังนี้
รับผิดชอบการวางแผนการสอนและวัดผล
มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนหรือให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำหน้าที่ผู้จัดการ หรือบริหารห้องเรียนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้
ให้คำปรึกษา รับฟังความคิดเห็นแก่ผู้เรียน

บทบาทดังกล่าวนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดของWoolfok และ Nicalich (1980)
ที่กล่าวไว้หลายประเด็นและมีคลอบคลุม ดังนี้
เป็นผู้ชำนาญการสอน เป็นผู้ที่กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ
เป็นผู้จัดการ เป็นผู้นำ
เป็นผู้ให้คำปรึกษา
เป็นวิศวกรสังคม

เป็นตัวแบบ
หลักการที่สำคัญสำหรับครู
Mamchak and Mamchak (1981)
ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่เป็นรูปธรรม
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างครูและนักเรียน

การสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
ไม่รื้อฟื้นปัญหาที่เคยเกิดขึ้น
ให้ความยุติธรรมแก่เด็ก อย่างเท่าเทียมกัน
ตั้งเป้าหมายที่นักเรียนสามารถทำได้
ครูควรบอกถึงข้อจำกัดของตน
ครูควรทราบข้อจำกัดของเด็กแต่ละคน
ครูควรใส่ใจเด็กทุกคน
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
- ทำให้รู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียน
- ทำให้เข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพบางอย่างของผู้เรียน
- ทำให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ทำให้ครูทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่มีผลกระทบต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่น แรงจูงใจ ความคาดหวัง
เชาวน์ปัญญา ทัศนคติ ฯลฯ
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
- ทำให้ครูทราบทฤษฎี หลักการเรียนรู้ รวมทั้งหลักการสอนและวิธีการสอน
- ทำให้ครูวางแผนการสอนได้อย่างเหมาะสม
- ทำให้ครูจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนได้สอดคล้องกับพัฒนาการ รวมทั้งสร้างบรรยากาศใน
จิตวิทยาการศึกษา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้และพัฒนาการ
ของผู้เรียนในสภาพการเรียนการสอนหรือในชั้นเรียน
เพื่อค้นคิดทฤษฎีและหลักการที่จะนำมาช่วยแก้ปัญหาทางการศึกษาและส่งเสริมการเรียนการ
สอนให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จิตวิทยาการศึกษายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา
การสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล
ครูอาจารย์จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษาเพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมขอ
งผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนการสอน ดังนั้น
ในเรียงความบทนี้ผมจึงอยากจะพูดถึงจิตวิทยาการศึกษาระดับพื้นฐานที่ได้เรียนมาในภาคการศึกษานี้
ในฐานะนิสิตคณะครุศาสตร์ที่จะต้องจบการศึกษาออกไปเป็นครู

จิตวิทยาการศึกษาจะช่วยให้ครูอาจารย์มีความเข้าใจตัวในตัวผู้เรียนอย่างแจ่มแจ้ง
เข้าใจธรรมชาติของพวกเขา ความคิดจิตใจและความต้องการของพวกเขา
เข้าใจว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขา
เข้าใจว่าอะไรจะนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการศึกษาของพวกเขา หรือสามารถกล่าวอย่างง่าย
ๆ ว่า จิตวิทยาการศึกษาทำให้ครูอาจารย์มีจิตวิทยาในการสอน

หากครูผู้สอนมีจิตวิยาในการสอน เขาย่อมรู้ว่า
การบังคับให้ผู้เรียนเรียนโดยไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องเรียนจะทำให้พวกเขาเข้าใจบทเรียนเพียงผิวเผิน
แต่ความเข้าใจที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้และพยายามเข้าใจด้วยตนเอง
จากตรงนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าครูอาจารย์จำเป็นต้องทำให้ผู้เรียนเข้าใจวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชานั้น
ๆ และทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของความรู้และความสัมพันธ์ของความรู้นั้น ๆ ที่มีต่อการดำเนินชีวิต

หากครูผู้สอนเข้าใจทฤษฎีพัฒนาการ และทฤษฎีบุคลิกภาพของผู้เรียนในวัยต่าง ๆ ตั้งแต่วัยแรกเกิด
วัยอนุบาล ประถมฯ มัธยมฯ จนถึงอุดมศึกษา
จะทำให้ครูผู้สอนรู้วิธีการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับบุคคลแต่ละวัย ตามพัฒนาการทางร่างกาย
ความคิด จิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้เรียนได้ และด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในด้านนี้
จะทำให้ครูอาจารย์สามารถเล็งเห็นศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในตัวผู้เรียน
และช่วยผลักดันให้ผู้เรียนสามารถค้นพบศักยภาพของตัวเองได้
และสามารถให้คำแนะนำที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเขาได้จริง และถ้า
หากครูอาจารย์สามารถล่วงรู้ถึงสิ่งที่เป็นเหมือนปุ่มสตาร์ทของผู้เรียนและสามารถทำให้ปุ่มสตาร์ทนี้ทำ
งานได้ มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนผู้เรียนให้มุ่งไปในหนทางที่เขาใฝ่ฝันด้วยพลังจากภายในตัวของเขาเอง
ตลอดจนการประพฤติตนของครูเพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่นักเรียนซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าการสอนด้
วยคำพูด
นอกจากมีความเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆ
แล้ว ครูผู้สอนจะต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม ทั้งทางด้านระดับเชาวน์ปัญญา
ความคิดสร้างสรรค์ เพศ
สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนักจิตวิทยาได้คิดวิธีการวิจัยที่จะช่วยชี้ใ
ห้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเลือกวิธีสอน
และในการสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม ครูที่ใช้วิธีการเดียวกับผู้เรียนทุกคนเปรียบเสมือนหมอที่จ่ายยาตัว
เดียวกันแก่คนไข้ทุกคนที่มารับการรักษา โดยไม่คำนึงถึงโรคประจำตัวหรือประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังและมีอาการแพ้ยาย่อมไม่เหมือนผู้ป่วยทั่ว ๆ ไปฉันใด

ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษก็ย่อมแตกต่างจากผู้เรียนทั่ว ๆ ไปฉันนั้น
และการที่หมอเปิดเผยความลับของคนไข้ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เช่นไร
การที่ครูอาจารย์ตำหนิปมด้อยของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษก็ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เช่นกัน

ประการต่อมาคือทฤษฎีการเรียนรู้ หากครูผู้สอนเข้าใจวิธีการเรียนรู้ การจดจำ การทำความเข้าใจ
การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนองค์ประกอบต่าง ๆ
ที่จะมีส่วนช่วยในการเรียนรู้ของผู้เรียน สิ่งเหล่านี้ย่อมมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจว่าความรู้นั้นจะไม่เกิดจากการสอนของผู้สอน
หากแต่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะถ้าผู้สอนตั้งใจสอนแต่ผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้ก็ย่อมไร้ประโยชน์
ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้เรียนพยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเก็บเล็กผสมน้อยของข้อมูลที่เขาค้นหาและประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอจะตกผลึกเป็นองค์ความรู้ได้แม้ว่
าครูจะไม่ได้สอนเลยก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้สอนเข้าใจว่าการจับเด็กมานั่งในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ
เพียงอย่างเดียวเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกที่กว้างแล
ะกลมได้
ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษาเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จิตวิทยาการศึกษากล่าวถึง
ซึ่งมีความสำคัญและมีประโยชน์ไม่แพ้ทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการช่วยครูอาจารย์เกี่ยวกับการเรีย
นการสอน ในปัจจุบันครูผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการส
อนเพื่อทำสิ่งที่เข้าใจได้ยากให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่นการฉายภาพสไลด์และการเปิดวีดีทัศน์ เป็นต้น
นอกจากนี้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนสื่อสารกันได้สะดวกมากและมีป
ระสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าถึงช่องทางในการแสวงหาความรู้มากขึ้นอีกด้วย

หลักการสอนและวิธีสอน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เสนอหลักการสอนและวิธีการสอนตามทฤษฎีทางจิตวิทย
าที่แต่ละท่านยึดถือ เช่น หลักการสอนและวิธีสอนตามทัศนะนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม
ปัญญานิยม และมนุษย์นิยม
หลักการเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการกำหนดกรอบและทิศทางของการศึกษาและการจัดการเรียนการ
สอน หลักพฤติกรรมนิยมจะช่วยให้ครูอาจารย์รู้วิธีสังเกตพัฒนาการต่าง ๆ ของนักเรียนนักศึกษาได้
ส่วนหลักปัญญานิยมจะช่วยให้ครูอาจารย์เข้าใจกระบวนการคิด จดจำ และเข้าใจของนักเรียนนักศึกษา
และหลักมนุษย์นิยมจะช่วยให้ครูอาจารย์มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียนและช่วยในการปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตใจที่งดงา
มและมีความเมตตาต่อผู้อื่น

หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษาเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จิตวิทยาการศึกษาต้องการให้ผู้ทำหน้าที่เป็นครูอาจา
รย์มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนรู้วิธีการประเมินผลที่มีความถู
กต้องแม่นยำ ทำให้ทราบว่าการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพหรือไม่
หรือผู้เรียนได้สัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละวิชาหรือไม่ เพราะถ้าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูง
ก็จะเป็นผลสะท้อนว่าการจัดการเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
การเกิดการเรียนรู้ของบุคคลจะมีกระบวนการของการเรียนรู้จากการไม่รู้ไปสู่การเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ
1.1มีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล
1.2บุคคลสัมผัสสิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง 5
บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิ่งเร้า
1.4 บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้
1.5 บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
การเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้า (Stimulus) มากระตุ้นบุคคล ระบบประสาทจะตื่นตัวเกิดการรับสัมผัส
(Sensation) ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
แล้วส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อแปลความหมายโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเป็นการรับรู้ (Perception)
ใหม่ อาจสอดคล้องหรือแตกต่างไปจากประสบการณ์เดิม แล้วสรุปผลของการรับรู้นั้น
เป็นความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Concept) และมีปฏิกิริยาตอบสนอง (Response)
อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้า ตามที่รับรู้ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแสดงว่า เกิดการเรียนรู้แล้ว

2. การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้อาศัยวุฒิภาวะ
วุฒิภาวะ คือ ระดับความเจริญเติบโตสูงสุดของพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญาของบุคคลแต่ละวัยที่เป็นไปตามธรรมชาติ
แม้ว่าการเรียนรู้จะไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้ต้องอาศัยวุฒิภาวะด้วย
เพราะการที่บุคคลจะมีความสามารถในการรับรู้หรือตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าบุ
คคลนั้นมีวุฒิภาวะเพียงพอหรือไม่

3. การเรียนรู้เกิดได้ง่าย ถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
การเรียนสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน คือ การเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะเรียนหรือสนใจจะเรียน
เหมาะกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียนและเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน

การเรียนในสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียนย่อมทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนไม่ต้อ
งการหรือไม่สนใจ

4. การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธีการในการเรียน
ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน บุคคลต่างกันอาจเรียนรู้ได้ไม่เท่ากันเพราะบุคคลอาจมีความพร้อมต่างกัน
มีความสามารถในการเรียนต่างกัน
มีอารมณ์และความสนใจที่จะเรียนต่างกันและมีความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเรียน
ต่างกัน
ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน ถ้าใช้วิธีเรียนต่างกัน ผลของการเรียนรู้อาจมากน้อยต่างกันได้
และวิธีที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้มากสำหรับบุคคลหนึ่งอาจไม่ใช่วิธีเรียนที่ทำให้อีกบุคคลหนึ่งเกิดการเรียนรู้
ได้มากเท่ากับบุคคลนั้นก็ได้

ประโยชน์ของ จิตวิทยากับการเรียนการสอน มีดังต่อไปนี้
1. ช่วยให้ผู้สอนสามารถเข้าใจตนเอง พิจารณา ตรวจสอบตนเอง ทั้งในด้านดีและข้อบกพร่อง
รวมทั้งความสนใจ ความต้องการ ความสามารถ ซึ่งจะทำให้สามารถคิด และตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง
ๆได้อย่างเหมาะสม
2. ช่วยให้ผู้สอน เข้าใจทฤษฎีวิธีการใหม่ ๆ และสามารถนำความรู้เหล่านั้น
มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนนำเทคนิคการใช้ได้เหมาะสมและเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เช่นใน
การเรียนสิ่งที่เป็นนามธรรมผู้สอนจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อประกอบการสอนเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
3. ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจธรรมชาติความเจริญเติบโตของผู้เรียนและสามารถจัดการเรียน การสอนให้เหมาะสม
กับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจ ของผู้เรียนแต่ละวัยได้
4. ช่วยให้ผู้สอน เข้าใจ และสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน วิธีจัดกิจกรรมตลอดจนวิธีการวัดผล
ประเมินผลการศึกษา ให้สอดคล้องกับความเจริญเติบโตของผู้เรียน ตามหลักการ
5. ช่วยให้ผู้สอน รู้จักวิธีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อหาทางช่วยเหลือแก้ปัญหา
และส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างดีที่สุด
6.ช่วยให้ผู้สอนมีสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถทำงานกับผู้เรียนได้อย่างราบรื่น
7. ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษา ได้วางแผนการศึกษา การจัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอน
และการบริหารได้อย่างถูกต้อง
8.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีรู้จักจิตใจคนอื่นรู้ความต้องการความสนใจและปรับตัวให้เ
ข้ากับลักษณะเหล่านั้นได้ก็จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข

จิตวิทยากับการพัฒนาหลักสูตร จิตวิทยานำมาพัฒนาหลักสูตร 2 แขนง คือ
1) จิตวิทยาพัฒนาการ นำมาพัฒนาหลักสูตรในด้าน 1) การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
2) การกำหนดระยะเวลาความสนใจของเด็กหรือคาบเวลาในการเรียนรู้ 3)
การกำหนดเกณฑ์อายุมาตรฐานของการเข้าเรียน
ต้องคำนึงถึงความพร้อมของเด็กทั้งทางร่างกายและสติปัญญา 4) การจัดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้
ซึ่งจะต้องยึดลำดับความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความยากง่าย
ความสลับซับซ้อนของเนื้อหาทำให้พอเหมาะกับวัยของผู้เรียนด้วย
2) จิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ ของการเรียนรู้และองค์ประกอบต่างๆ
มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ การคิด และการแก้ปัญหา
จิตวิทยาแขนงนี้จะช่วยให้ทราบว่ามนุษย์เราเรียนรู้ได้อย่างไร
ทำอย่างไรจึงเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลทำให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้เร็วหรือช้า
เป็นต้น

2. จิตวิทยากับการจัดการเรียนการสอน
1) จิตวิทยากับครู จากทัศนะของนิสิตหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู
สามารถวิเคราะห์ความสำคัญของจิตวิทยากับครู ดังนี้
(1) ช่วยให้ครูสามารถเข้าใจตนเองพิจารณา ตรวจสอบตนเอง ทั้งในด้านดีและข้อบกพร่อง
รวมทั้งความสนใจ ความต้องการ ความสามารถ ซึ่งจะทำให้สามารถคิด และตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆ
ได้อย่างเหมาะสม
(2) ช่วยให้ครู เข้าใจทฤษฎี วิธีการใหม่ๆ
และสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ตลอดจนนำเทคนิคการใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น ในการเรียนสิ่งที่เป็นนามธรรม
ครูจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อประกอบการสอนเข้าใจง่ายขึ้น
(3) ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของผู้เรียน
และสามารถจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของผู้เรียนแต่ละวัยได้
(4) ช่วยให้ครูเข้าใจและสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน วิธีจัดกิจกรรม ตลอดจนวิธีการวัดผล
ประเมินผลการศึกษา ให้สอดคล้องกับความเจริญเติบโตของผู้เรียนตามหลักการ
(5) ช่วยให้ครู รู้จักวิธีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อหาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหา
และส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างดีที่สุด

(6) ช่วยให้ครูมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้เรียน
มีความเข้าใจและสามารถทำงานกับผู้เรียนได้อย่างราบรื่น
(7) ช่วยให้ครูนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนและผู้เรียนมาจัดรูปแบบ
โดยการนำทฤษฎีและหลักการไปใช้
(8) ช่วยให้ครู เข้าใจหลักปฏิบัติ หรือการปฏิบัติตัวในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นตามความเชื่อถือหรือทฤษฎีการเรียนรู้ที่ตนเองเข้าใจและนิยมที่จะปฏิบัติ เช่น
การเรียนจากการสังเกตหรือการเลียนแบบ
(9) ช่วยให้ครูสามารถตัดสินใจเลือกกิจกรรมและวิธีการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม
และที่สำคัญก็คือ ทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วยให้ครูสามารถคาดการณ์ได้ว่า
ควรจะปฏิบัติการณ์อย่างไรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
(10) ช่วยให้ครูนำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้
ปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถนำความรู้ไปช่วยในการปรับตัวให้ดีขึ้น
(11) ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่ครูต้องสอน
โดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม
(12) ช่วยให้ครูมีความเข่าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของผู้เรียน
เช่น อัตมโนทัศน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่ช่วยผู้เรียนให้มี อัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร
(13) ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล
เพื่อจะได้ช่วยผู้เรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
(14)
ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก้วัยและขั้นพัฒนาการของนักเรียน
เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและมีความที่อยากจะเรียนรู้
(15) ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น
แรงจูงใจอัตมโนทัศน์ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อผู้เรียน
(16) ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน
เพื่อทำให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้นักเรียนทุกคนเรียนตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
โดยคำนึงถึงหัวข้อต่อไปนี้
(16.1)

ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำนึงถึงลักษณะนิสัยและความแตกต่างระ
หว่างบุคคลของนักเรียนที่จะต้องสอน
และสามารถที่จะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งคาดหวังให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุปร

ะสงค์ของบทเรียนคือสิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนทราบ เมื่อจบบทเรียนแล้วนักเรียนสามารถทำอะไรได้บ้าง
(16.2) ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม
โดยคำนึงลักษณะนิสัยของผู้เรียนและวิชาที่สอน และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน
(16.3)

ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้ป
ระเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทำการสอน
เพื่อทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าหรือมีปัญหาในการเรียนรู้อะไรบ้าง
(17) ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งพฤติกรรมของครูที่มีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น การใช้คำถาม การให้แรงเสริม
และการทำตนเป็นต้นแบบ
(18)
ช่วยครูให้ทราบว่าผู้เรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว
แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น แรงจูงใจ ทัศนคติหรือ
อัตมโนทัศน์ของผู้เรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อผู้เรียน
(19)

ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเสริมสร้างบุคลิ
กภาพของผู้เรียน ครูและผู้เรียนมีความรักและไว้วางใจซึ่งกันและกันความช่วยเหลือกันและกันของผู้เรียน
ทำให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุขและผู้เรียนรักโรงเรียน อยากมาโรงเรียน
2) จิตวิทยากับผู้เรียน จากทัศนะของนิสิตหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู
สามารถวิเคราะห์ความสำคัญของจิตวิทยากับผู้เรียน ดังนี้
(1) ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจลักษณะธรรามชาติของมนุษย์
ลำดับขั้นพัฒนาการชีวิตในแต่ละช่วงวัย และทราบถึงองค์ประกอบต่างๆ
ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย
(2) ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการยอมรับ เข้าใจตนเองและผู้อื่น
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
สามารถปรับตัวให้เข้ากับบุคคลในวัยต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถช่วยเหลือบุคคลวัยต่างๆ
ในแนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
(3) ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี รู้จักจิตใจคนอื่น
รู้ความต้องการความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับลักษณะเหล่านั้นได้
ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น